เลือกกล่องใส่สินค้าขนาดที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของคุณ เพื่อความสะดวกในการขนส่งและลดต้นทุน เราจะขอแนะนำขนาดกล่องมาตรฐาน ประเภทกล่อง และเทคนิคการเลือกกล่องที่ช่วยปกป้องสินค้าของคุณได้ดีที่สุด
การเลือกขนาดกล่องใส่สินค้าที่เหมาะสมไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่มีผลต่อทั้งต้นทุน การขนส่ง และการปกป้องสินค้า หากเลือกกล่องที่เล็กเกินไป อาจทำให้สินค้าถูกบีบอัดเสียหาย แต่ถ้าเลือกกล่องที่ใหญ่เกินไปก็อาจเปลืองวัสดุและเพิ่มค่าขนส่งโดยไม่จำเป็น ดังนั้นการรู้จักประเภทกล่องและขนาดมาตรฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการทุกคน
ขนาดมาตรฐานของกล่องใส่สินค้า
ตัวอย่างเช่น
- กล่องครีม – ขนาด กว้าง 4 x ลึก 4 x สูง 4 ซม.
- กล่องลิป – ขนาด กว้าง 1.5 x ลึก 1.5 x สูง 12 ซม.
- กล่องจุกแปะนม – ขนาด กว้าง 6 x ลึก 1.5 x สูง 6 ซม.
- กล่องเซรั่ม – ขนาด กว้าง 2 x ลึก 2 x สูง 8 ซม.
- กล่องพัสดุสำหรับการจัดส่ง – เช่น เบอร์ 00 (AAA): 14 × 9.75 × 6 ซม. หรือ 9.8 × 14 × 6 ซม.
กล่องใส่สินค้ามีหลายขนาดให้เลือก โดยทั่วไปขนาดของกล่องจะถูกกำหนดให้เหมาะสมกับประเภทของสินค้า เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนัก ป้องกันการกระแทก และช่วยให้ขนส่งสะดวกขึ้น โดยกล่องที่นิยมใช้กันมากที่สุดสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ กล่องอาร์ตการ์ด กล่องอาร์ตการ์ดพรีเมียม และกล่องลูกฟูก
วิธีเลือกขนาดกล่องให้เหมาะสมกับสินค้า
การเลือกกล่องที่เหมาะสมควรคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น ขนาดสินค้า น้ำหนัก วิธีการขนส่ง และความต้องการของลูกค้า กล่องที่ดีต้องสามารถปกป้องสินค้าได้ ไม่เสียพื้นที่เกินไป และช่วยให้ขนส่งได้สะดวกขึ้น
1.กล่องอาร์ตการ์ด
กล่องอาร์ตการ์ดเป็นกล่องกระดาษที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีน้ำหนักเบา ต้นทุนต่ำ และสามารถพิมพ์ลวดลายบนกล่องได้อย่างสวยงาม จึงเหมาะกับสินค้าหลายประเภท เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม และของขนาดเล็ก โดยมีขนาดมาตรฐานให้เลือกหลายขนาดดังนี้
- ขนาด A5: 16 × 25 ซม.
- ขนาด A4: 25 × 31 ซม.
- ขนาด A4+: 29 × 36 ซม.
- ขนาด A3: 31 × 44 ซม.
- ขนาด A2: 44 × 62 ซม.
2.กล่องอาร์ตการ์ดพรีเมียม
กล่องประเภทนี้เหมาะสำหรับสินค้าเกรดพรีเมียมที่ต้องการความหรูหราและดูมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เช่น กล่องน้ำหอม กล่องเครื่องประดับ และสินค้าที่มีดีไซน์พิเศษ กล่องอาร์ตการ์ดพรีเมียมมีเนื้อกระดาษที่หนากว่าแบบทั่วไป เคลือบเงาหรือด้าน และสามารถพิมพ์ลวดลายได้ละเอียดมากขึ้น มีขนาดมาตรฐานดังนี้
- ขนาด L: ฐาน 30 × 42 ซม.
- ขนาด XL: ฐาน 42 × 60 ซม.
3.กล่องลูกฟูก
กล่องลูกฟูกเหมาะกับสินค้าที่ต้องการความแข็งแรงมากขึ้น เพราะสามารถรับน้ำหนักได้ดีและกันกระแทกได้มากกว่ากล่องอาร์ตการ์ด กล่องประเภทนี้จึงนิยมใช้กับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสินค้าที่ต้องการความปลอดภัยเป็นพิเศษ มีขนาดมาตรฐานได้แก่
- ขนาด A3: 30 × 42 ซม.
- ขนาด A2: 42 × 60 ซม.
- ขนาด A1: 60 × 84 ซม.
- ขนาด A0: 84 × 120 ซม.
เบอร์ กล่องลูกฟูก
- เบอร์ 00 (AAA): 14×9.75×6 cm
- เบอร์ 0 (AA): 17x11x6 cm
- เบอร์ A+6: 20x14x12 cm
- เบอร์ A (ก): 20x14x6 cm
- เบอร์ 2A: 19x12x14 cm
- เบอร์ B (ข): 25x17x9 cm
- เบอร์ 2B: 25x17x18 cm
- เบอร์ B+7: 25x17x16 cm
- เบอร์ C (ค): 30x20x11 cm
- เบอร์ CD: 15x15x15 cm
- เบอร์ C+9: 30x20x20 cm
- เบอร์ D (ง): 35x22x14 cm
- เบอร์ D+11: 35x22x25 cm
- เบอร์ D7: 35x22x9 cm
- เบอร์ E (จ): 40x24x17 cm
- เบอร์ F: 45x30x20 cm
- เบอร์ G: 36x31x26 cm
- เบอร์ H: 45x41x35 cm
- เบอร์ I: 55x45x40 cm
- ขนาดอื่นๆ: 52×50.5×40 cm และขนาดอื่นๆ ตามความต้องการ
วิธีเลือกขนาดกล่องให้เหมาะสมกับสินค้า
การเลือกกล่องที่เหมาะสมควรคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น ขนาดสินค้า น้ำหนัก วิธีการขนส่ง และความต้องการของลูกค้า กล่องที่ดีต้องสามารถปกป้องสินค้าได้ ไม่เสียพื้นที่เกินไป และช่วยให้ขนส่งได้สะดวกขึ้น
1.พิจารณาขนาดสินค้า
ก่อนเลือกกล่อง ควรเริ่มจากการวัดขนาดสินค้าของคุณให้แม่นยำ รวมถึงความสูง กว้าง และลึก เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะพอดีกับกล่อง ไม่คับหรือหลวมเกินไป ถ้ากล่องเล็กเกินไป สินค้าอาจเสียหายจากแรงกด แต่ถ้ากล่องใหญ่เกินไป อาจทำให้ต้องใช้วัสดุกันกระแทกเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น
2.ดูน้ำหนักของสินค้า
สินค้าที่มีน้ำหนักมาก เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือของตกแต่งบ้าน ควรเลือกกล่องที่แข็งแรง เช่น กล่องลูกฟูก เพราะสามารถรองรับน้ำหนักได้ดีกว่าและป้องกันการฉีกขาดได้มากขึ้น หากเลือกกล่องที่ไม่เหมาะสม อาจเกิดความเสียหายระหว่างการขนส่งได้
3.เลือกกล่องที่สะดวกต่อการขนส่ง
หากสินค้าของคุณต้องจัดส่งผ่านไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่ง ควรเลือกกล่องที่ขนาดพอดีกับมาตรฐานของผู้ให้บริการขนส่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการวัดขนาดกล่องที่เกินมาตรฐาน นอกจากนี้ยังช่วยให้สินค้าถึงมือลูกค้าในสภาพที่สมบูรณ์
4.เพิ่มวัสดุป้องกันสินค้า
หากสินค้าของคุณเป็นของที่เปราะบาง เช่น เครื่องแก้ว หรือเซรามิก ควรเลือกกล่องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้สามารถบรรจุวัสดุกันกระแทก เช่น บับเบิ้ลแรป หรือกระดาษกันกระแทก ได้อย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันสินค้าเสียหายระหว่างการขนส่ง
ข้อดีของการใช้กล่องใส่สินค้าที่เหมาะสม
1.ปกป้องสินค้า กล่องที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพดีสามารถปกป้องสินค้าจากความเสียหายระหว่างการจัดเก็บและขนส่งได้ โดยเฉพาะสินค้าที่เปราะบางหรือมีความละเอียดอ่อน
2.สะดวกต่อการจัดเก็บและขนส่ง กล่องที่ออกแบบมาอย่างดีจะช่วยให้การจัดเก็บและขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างมีระเบียบและง่ายต่อการจัดการ
3.เพิ่มมูลค่าสินค้า การออกแบบกล่องที่สวยงามและโดดเด่นสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังช่วยสื่อสารเรื่องราวของสินค้าและแบรนด์ให้กับผู้บริโภค
4.โฆษณาสินค้า กล่องสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาสินค้าได้ โดยการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและช่องทางการติดต่อ ซึ่งช่วยดึงดูดผู้บริโภคและเพิ่มโอกาสในการขายซ้ำ
5.ดูแลสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้กล่องกระดาษที่สามารถย่อยสลายได้และรีไซเคิลใหม่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์พลาสติก
สรุป
การเลือกกล่องใส่สินค้าที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์และออฟไลน์ เพราะไม่เพียงช่วยปกป้องสินค้า แต่ยังมีผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์อีกด้วย การใช้กล่องที่พอดีกับสินค้า ช่วยให้การขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่น ลดต้นทุน และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ดังนั้นหากคุณต้องการบรรจุภัณฑ์ที่ดี อย่าลืมเลือกขนาดกล่องที่เหมาะสมกับสินค้าของคุณ
สาระน่ารู้: เริ่มต้นสั่งผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ อย่างไรดี